28.2.12

เคล็บลับการชงกาแฟ

การชงกาแฟร้อน
ควรอุ่นถ้วยกาแฟให้ร้อนก่อนการชงทุกครั้ง เพื่อคงอุณหภูมิน้ำกาไว้ได้นานที่สุด

การชงกาแฟเย็น
น้ำกาแฟที่นำมาใช้ชงกาแฟเย็น ควรชงให้เข้มข้นเป็น 2 เท่า เผื่อความเจือจางจากน้ำแข็ง
การใช้ส่วนผสมที่แช่เย็นจะช่วยลดความร้อนของกาแฟที่ชงสดๆจากเครื่อง เป็นการช่วยลดการละลายของน้ำแข็ง ทำให้เครื่องดื่มเย็นที่ได้มีรสชาติเข้มข้น
หากต้องการผสมกาแฟเย็นไว้ล่วงหน้า ควรเก็บน้ำกาแฟเย็นที่ผสมแล้วไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท ที่อุณหภูมิไม่เกิน 5 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำกาแฟเมื่อนำมาเทรวมกับน้ำแข็งแล้วจะได้กาแฟเย็นที่มีรสชาติเข้มข้น หอม อร่อย
วิธีการลดอุณหภูมิ (Cool Down) กาแฟร้อนอย่างรวดเร็ว ให้เทกาแฟร้อนที่ชงเสร็จใหม่ๆใส่ลงในถ้วยสแตนเลสที่หล่อด้วยน้ำแข็ง แล้วคนกาแฟไปเรื่อยๆ อุณหภูมิจะลดลงได้ภายในนาทีเศษๆเท่านั้น

การชงกาแฟปั่น
ลักษณะของเครื่องดื่มปั่นที่ดีนั้น ไม่ควรเหลวจนเกินไปดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ส่วนผสมที่เป็นของเหลวให้มากที่สุด ดังจะเห็นได้จากในสูตรที่ใช้น้ำตาลทรายแทนน้ำเชื่อม หรือใช้นมผงแทนนมสด และควรเลือกน้ำตาลที่เป็นน้ำตาลเกล็ดเล็กเพื่อการละลายที่ง่ายและเร็วกว่า
การแฟปั่นต้องการความเข้ม และความหอมของกาแฟอย่างสูง การใช้กาแฟเอสเปรสโซ่แช่เย็นจัด จะช่วยให้กาแฟปั่นมีรสชาติเข้มข้น และความหอมของกาแฟ อีกทั้งจะช่วยให้เครื่องดื่มปั่นที่ได้ไม่เหลวจนเกินไป เนื่องจากเอสเปรสโซ่ที่แช่เย็นจัดจะช่วยลดความร้อนของเอสเปรสโซ่ที่ชงใหม่ๆ ทำให้น้ำแข็งที่ปั่นกับกาแฟละลายช้าลง

18.2.12

ศาสตร์และศิลป์ของกาแฟ

ศาสตร์และศิลป์ของกาแฟ

จากเมล็ดกาแฟดิบต้องผ่านกระบวนการอย่างพิถีพิถันทั้งการจำแนกแยกแยะ ผสมผสาน คั่ว ชิม และบด ทุกขั้นตอนล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญ เพื่อให้กลายมาเป็นกาแฟอันหอมกรุ่น รสชาติลึกล้ำเครื่องดื่มถ้วยโปรดของคุณนั่นเอง

ศาสตร์ : ที่มาแห่งกลิ่นและรส

การคั่วกาแฟ คือ กระบวนการที่ทำให้ให้เมล็ดกาแฟอุณหภูมิสูงขึ้นจากระดับอุณหภูมิห้องไปจนถึง 200-230องศาเซลเซียล หรอประมาณ 400-450 องศาฟาเรนไฮต์ในระหว่างการคั่วนั้น น้ำและความชื้นที่อยู่ภายในเมล็ดกาแฟจะถูกไล่ออกไป ทำให้สีของเมล็ดกาแฟเริ่มเปลี่ยนจากสีขาวแห้งๆ เป็นสีเขียวมัน เงา แล้วกลายเป็นสีน้ำตาลซีด จากนั้นจะค่อยๆเข้มขึ้นตามลำดับ


หากคั่วจนเข็มมากๆ น้ำมันที่อยู่ในเมล็ดกาแฟจะหลั่งออกมาเคลือบเมล็ดกาแฟจนเป็นเงามัน เมล็ดกาแฟที่คั่วสุกแล้วน้ำหนักจะเบาขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากน้ำและความชื้นถูกไล่ออกไปแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น 1 เท่าตัวยิ่งคั่วเข้มมากน้ำหนักก็จะหายไปมากแต่ขนาดก็จะใหญ่มากขึ้น เครื่องคั่วกาแฟนั้นมีหลายแบบหลายขนาด ตั้งแต่เครื่องคั่วขนาดเล็กแบบที่ใช้ตามบ้านหรือห้องทดลองไปจนถึงขาดกลางและขนาดใหญ่แบบที่ใช้ในร้านหรือโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีทั้งแบบที่ใช้ความร้อนโดยตรงหรือแบบที่ใช้อากาศร้อนเป็นตัวทำให้เมล็ดกาแฟสุก ผู้คั่วหรือผู้ควบคุมเครื่องคั่ว (Roast Master) ต้องมีความเชี่ยวชาญในการดูสีหรือเทียบสีของเมล็ดกาแฟที่คั่วได้และจะต้องทราบถึงคุณสมบัติ ของเมล็ดกาแฟแต่ละชนิดเป็นอย่างดี จึงจะได้เมล็ดกาแฟคั่วที่มีคุณภาพและได้รสชาติตามที่ต้องการ

ในขั้นตอนการคั่วสีของเมล็ดกาแฟ เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะโดยส่วนใหญ่เราจะใช้สีของเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วเป็นตัวแบ่ง ความเข้มของกาแฟ ซึ่งหมายถึงการบ่งบอกคุณสมบัติและรถชาติของกาแฟด้วยเช่นกัน

การแบ่งระดับความเข้มของกาแฟด้วยสีนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในแต่ละระดับจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ

ระดับแรกสุดคือ ระดับอ่อน หรือ Light Roast มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น Half City หรือ Cinnamon Roast กาแฟคั่วระดับนี้จะ มีสีน้ำตาลอ่อน คล้ายสีของซินนาม่อนหรืออบเชยนั่นเอง การคั่วระดับนี้ เรียกได้ว่าเป็นระดับการคั่วที่คงความหอมและคุณสมบัติดั้งเดิมของกาแฟได้มากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วจะมี Acidity หรือความเปรี้ยว สดชื่นสูง และมีรสฝาดอยู่มาก

ระดับปานกลาง หรือ Medium Roast ซึ่งในบางครั้งจะมีผู้รียกว่า Full City บ้างหรือ American บ้าง เมล็ดกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้มปานกลาง ให้รสชาติขมปนหวานมีความเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นระดับการคั่วที่ให้ความกลมกล่อมของกล่นและรสชาติของกาแฟได้ดีที่สุด

ระดับเข้ม หรือ Dark Roast และยังมีชื่อเรียกอื่นๆ เช่น Continental Roast หรือ Vienna Roast เมล็ดกาแฟที่คั่วในระดับนี้จะมีสีน้ำตาลค่อนข้างเข้มมีรสชาติขมปนหวานเล็กน้อยแต่ไม่เปรี้ยว มีกลิ่นฉุนของกาแฟคั่วปนกับกลิ่นหอมของกาแฟแท้ๆ

สุดท้ายคือ ระดับเข้มมาก หรือ Very Dark Roast. Italian Roast ซึ่งยังเรียกกันไปต่างๆ อีก หรือ Espresso เมล็ดกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ มีน้ำมันเคลือบอยู่จนมันเป็นเงา รสชาติค่อนข้างขม มีความหวานอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่มีความเปรี้ยวหลงเหลืออยู่เลย และมีกลิ่นกาแฟคั่วที่ฉุนกว่าระดับอื่น อย่างไรก็ดีไม่มีตัววัดที่แน่ชัดลงไปว่า การคั่วสีในระดับต่างๆ นั้น ระดับใดจะได้รสชาติมาตรฐานที่สุดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับชนิดของเมล็ดกาแฟดิบ วิธีการชงแบบต่างๆ รวมทั้งความพึงพอใจของผู้ดื่มอีกด้วย

ศิลป์ : การสรรค์สร้างเอกลักษณ์

นอกจากการคั่วที่จะส่งผลโดยตรงต่อรสชาติของกาแฟแล้วการ Blend หรือการผสมกาแฟชนิดต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้กาแฟรสชาติใหม่ๆ ที่มีความแปลกและแตกต่างกันออกไปก็ถือเป็นการสร้างสรรค์รสชาติ อันเป็นศิลปะเฉพาะตัวของผู้คั่วแต่ละราย ซึ่งการ Blend นี้สามารถทำได้ทั้งก่อนการคั่วหรือหลังคั่ว


กาแฟบดที่มีขายกันอยู่ทั่วไปนั้น นอกจากกาแฟผสมที่ Blend ตามสูตรเฉพาะของผู้คั่วแต่ราย ซึ่งอาจเรียกชื่อตามระดับของการคั่วเช่น เฟร้น เบลนด์, เวียนนา เบลนด์, อเมริกัน เบลนด์, เอสเปรสโซ่ หรือบางครั้งอาจเรียกชื่อตามที่ผู้คั่วแต่ละรายตั้งขึ้น เช่น โอโร่, คอนติเนนตัล เบลนด์, อราบิก้า สเปเชี่ยล แล้ว ยังมีอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Straight Coffee หรือ Sing Origin ซึ่งหมายถึงกาแฟที่มาจากแหล่งต่างๆ โดยตรง ไม่มีการผสมและนิยมเรียกชื่อตามแหล่งที่มาของกาแฟชนิดนั้นๆ เช่น Blue Mountain, Brezil Santos, Kenya, Costa Rica เป็นต้น

กาแฟเหล่านี้จะถูกคั่วในระดับอ่อนหรือปานกลางเท่านั้นเพื่อเป็นการรักษาคุณลักษณะเด่นของกาแฟชนิดนั้นๆ ไว้ให้ได้มากที่สุด เทคนิคที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าศิลปะในการ Blend นั่นคือการทดสอบรสชาติของกาแฟด้วย การชิม หรือที่เรียกว่า Cup Taste เพราะนอกจากจะเป็นการทดสอบกาแฟรสชาติใหม่ๆแล้วยังเป็นการทดสอบมาตรฐานรสชาติของกาแฟที่ผลิตได้อีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากเมล็ดกาแฟดิบจะมีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาและสภาพการเก็บรักษา

ในอดีตการชงกาแฟไม่ได้พัฒนา ซับซ้อนเช่นในปัจจุบัน ในยุคเริ่มต้นเมล็ดกาแฟดิบจะถูกนำมาคั่วและต้มทั้งเมล็ด แล้วจึงนำน้ำที่ต้มได้มาดื่มเป็นน้ำกาแฟ ต่อมามีการพัฒนาปรับปรุงวิธีการในการชงกาแฟ โดยนำเมล็ดกาแฟคั่วได้มาบดให้ละเอียดเสียก่อนแล้วจึงนำมาชงเป็นน้ำกาแฟในระยะหลังมีการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการชงกาแฟขึ้นมาอีกมากมา เพื่อช่วยให้น้ำกาแฟที่ชงได้มีรสชาติและกลิ่นออกมาดีที่สุด

กรรมวิธีอันแตกต่าง

ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ชาวฝรั่งเศสได้คิดค้นวิธีการชงประเภทหนึ่งขึ้นโดยการนำถุงผ้าหุ้มผงกาแฟคั่วไว้แล้วเทน้ำร้อนผ่านลงไปคล้ายกับการชงกาแฟถุงที่เห็นกันในปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้ในการชงกาแฟมีอยู่หลายชนิดแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันซึ่งจะส่งผลให้รสชาติของน้ำกาแฟที่ได้นั้นแตกต่างกันออกไปเครื่องชงกาแฟที่พบเห็นกันโดยทั่วไปนั้นมีอยู่ประมาณ 6 ชนิด

ชนิดที่ 1 เรียกว่า Percolator ลักษณะเป็นกาน้ำหรือหม้อทรงสูงมีตะแกรงสำหรับใส่ผงกาแฟอยู่ด้านบนวิธีการทำงานคือ น้ำจะถูกต้มและส่งผ่านท่อเล็กๆ ขึ้นไปยังตะแกรงผงกาแฟและหมุนวนขึ้นลงกาแฟเข้มถึงระดับที่ต้องการหากเป็นขนาดใหญ่แล้วจะต้องใช้ เวลาต้มนานถึงประมาณ 30-40 นาที

ชนิดที่ 2 คือ Plunger หรือบางครั้งเรียกว่า French Press หรือ Csfetiere ลักษณะเป็นแก้วใส มีแท่งกดเป็นก้านโลหะอยู่ตรงกลาง ส่วนปลายด้านล่างจะมีแผ่นสำหรับกรองกากกาแฟ เครื่องมือที่เหมาะกับกาแฟที่บดค่อนข้างหยาบ การชงจะใช้วิธีการแช่ผงกาแฟในน้ำร้อนประมาณ 4 นาที เพื่อสกัดรสชาติของกาแฟออกมา แล้วจึงกดแผ่นกรอง เพื่อดันกากกาแฟลงสู่ด้านล่าง ในขณะที่น้ำกาแฟจะอยู่ด้านบน เมื่อเทน้ำกาแฟออกมา กากาแฟยังถูกกักอยู่ด้านล่างเช่นเดิม

ชนิดที่ 3 เรียกว่า Filter มีทั้งเครื่องชงที่ทำงานด้วยไฟฟ้าและลักษณะที่เป็นตัวกรองอย่างเดียว การชงกาแฟแบบ Filter ต้องอาศัยแผ่นกรอง ซึ่งแผ่นกรองนั้นมีทั้งชนิดที่เป็นกระดาษไนลล่อน และเส้นใยโลหะถัก หลักในการชงคือใช้น้ำร้อนผ่านลงไปยังผงกาแฟเพียงครั้งเดียว

ชนิดที่ 4 เรียกว่า Syphon นิยมใช้กันมากในประเทศญี่ปุ่นหลักการคล้ายกับ Percolator แต่ใช้เวลาในการต้มประมาณไม่เกิน 3 นาที มีลักษณะคล้ายถ้วยแก้วทดลองวิทยาศาสตร์ คือมีแท่งกระบอกแก้วอยู่ด้านล่างสำหรับใส่น้ำ และมีตะเกียงไฟอยู่ใต้ถ้วยแก้วเพื่อต้มน้ำให้เดือด เมื่อน้ำเดือดก็จะไหลย้อนขึ้นไปยังแท่งกระบอกแก้วที่มีผงกาแฟ เมื่อดับตะเกียงไฟ น้ำกาแฟจะไหลกลับลงสู่ถ้วยแก้วด้านล่างอีกครั้ง

ชนิดที่ 5 เรียกว่า Ibrik มีลักษณะเหมือนหม้อมีด้ามจับ 1 ด้าม ใช้ชงกาแฟสไตล์ตะวันออกกลาง โดยต้มผงกาแฟที่บดละเอียดมากพร้อมกับน้ำตาล บางครั้งจะเติมเครื่องเทศบางชนิด เช่น กระวาน กานพลู ชินนามอน เพื่อเพิ่มความหอม และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

ชนิดที่ 6 คือเครื่องชง Espresso เป็นเครื่องชงกาแฟที่ได้รับความนิยมอย่างสูง มีการพัฒนามาจาก Moka ที่ใช้หลักการของแรงดันไอ้น้ำเป็นตัวช่วยในการสกัดสารกาแฟ

น้ำร้อนจะถูกดันให้ผ่านผงกาแฟเพียงครั้งเดียวในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 25-30 วินาที หากมากหรือน้อย กว่านี้จะมีผลต่อรสชาติของน้ำกาแฟที่ได้ ว่ากันว่าวิธีการนั้นช่วยดึงรสชาติของกาแฟออกมาได้มากที่สุดและดีที่สุดอีกด้วย ปัจจุบันเครื่องชงแบบ Espresso นี้มีหลายแบบ ทั้งแบบกึ่งอัตโนมัติและแบบอัตโนมัติ ยิ่งไปกว่านั้นบางรุ่นยังมีเครื่องบดกาแฟในตัวอีกด้วย

ความละเอียดกับรสชาติ

กาแฟที่ผ่านการคั่วแล้วจะถูกบดให้หยาบ-ละเอียด แตกต่างกันตามเวลาที่ใช้ในการชงของเครื่องมือแต่ละชนิดเนื่องจากระดับของการบดมีความสัมพันธ์กับระยะเวลาที่ผงกาแฟต้องสัมผัสกับน้ำหากบดกาแฟหยาบเกินไปน้ำร้อนจะผ่านผงกาแฟอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถสกัดสารต่างๆ ออกมาได้มากเพียงพอน้ำกาแฟที่ได้จะมีรสชาติอ่อนและกลิ่นไม่ค่อยหอม แต่หากบดกาแฟละเอียดจนเกินไป น้ำร้อนจะสัมผัสกาแฟอยู่นานและจะสกัดสารต่างๆออกมามากจนเกินไป ทำให้เกิดรสชาติ และกลิ่นที่ไม่ดี เช่น กลิ่นไหม้ หรือรสชาติฝาด


การชงด้วย Percolator, Plunger หรือ Syphon จะบดกาแฟค่อยข้างหยาบกว่าการชงด้วยเครื่องกรอง หรือ Filter ส่วนการชงด้วยเครื่องแบบ Espresso เมล็ดกาแฟจะถูกบดอย่างละเอียดมากเพื่อให้ผงกาแฟสัมผัสกับน้ำมากที่สุด ส่วนการชงด้วย Ibrik นั้น ต้องบดกาแฟให้ละเอียดมากจนเกือบเป็นผงแป้ง เนื่องจากน้ำกาแฟที่ชงได้จะถูกเสิร์ฟและดื่มโดยไม่ผ่านการกรองใดๆ

11.2.12

ประโยชน์ของการดื่มกาแฟสด

นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

คนแก่ กินกาแฟเยอะ ความจำดี
คุณมักจะแนะนำให้ญาติผู้ใหญ่ที่บ้านลดปริมาณการกินกาแฟลงหรือเปล่า? ถ้าใช่ คุณอาจจะต้องคิดใหม่ในเรื่องกาแฟกับคนแก่แล้วสิมีผลการศึกษาล่าสุดจากฝรั่งเศสพบว่า ผู้หญิงโดยเฉพาะคนที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปที่ดืมกาแฟอย่างน้อยวันละ 3 แก้วจะมีความจำดีกว่าคนที่ดื่มน้อยกว่าหรือไม่ดื่มเลย

"คาเฟอีนมีคุณสมบัติบางอย่าง ที่ช่วยลดอาการความทรงจำถดถอยในผู้หญิง" คำกล่าวของคุณ Karen Ritchie เจ้าของรายงานฉบับดังกล่าว, การทดสอบกระทำกับผู้ร่วมทดสอบ 7,000 คนตลอดระยะเวลา 4 ปี โดยพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อความจำด้วย ไม่ว่าจะเป็น อายุ, การศีกษา, สภาพจิตใจ, การใช้ยา รวมถึงโรคประจำตัว พบว่าผู้หญิงที่มีประวัติดื่มกาแฟมากกว่า 3 แก้วต่อวันมีอาการความจำถดถอยน้อยกว่าคนที่ดื่มน้อยกว่า หรือไม่ดื่มเลย โดยผลการศึกษายังพบว่ามันจะมีผลดีสำหรับคนที่อายุมากกว่าด้วย โดยคนที่อายุ 65 มีโอกาสสูญเสียความจำน้อยกว่าคนทั่วไป (ที่บริโภคน้อยกว่า 3 แก้วต่อวัน) ถึง 30% และเพิ่มเป็น 70% ในคนอายุเกิน 80

ด้านสมาคมกาแฟอังกฤษระบุว่า

การศึกษานี้น่าสนใจ แต่ก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่สนับสนุนว่า การดื่มกาแฟปานกลางวันละ 4-5 แก้ว ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนทั่วไป และช่วยให้ตื่นตัวสำหรับผู้ที่ดื่มเป็นประจำ.

ประโยชน์ของการดื่มกาแฟสด
"การดื่มกาแฟไม่มีผลเสีย ตราบใดที่คุณดื่มในปริมาณพอเหมาะเช่นเดียว กับทุกอย่างที่เรากินและดื่ม" ศาสตราจารย์ซิลวีโอ การัตตีนี หัวหน้าสถาบัน มารีโอ เนกรีแห่งมิลานและบรรณาธิการหนังสือ Caffeine ,Coffee and health ยืนยันการทดสอบในห้องปฏิบัติการแสดงว่าปริมาณกาแฟอีนใน เอสเปรสโซ่หนึ่งถ้วย (20-30มิลลิเมตร)เท่ากับเครื่องดื่มโคลาโคล่าขนาด 330 CC.สองกระป๋อง. ข้อมูลจากหนังสือรีดเดอร์ ไดเจสท์ ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2541 กาแฟมีประโยชน์ : เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2544 รอยเตอร์รายงานว่าการที่คนเรากังวลว่าหลังดื่มกาแฟสักถ้วยแล้วจะนอน ไม่หลับ หรือความดันโลหิตสูงนั้นลืมได้เลยเพราะจากการศึกษาของสถาบัน กาแฟของมหาวิทยาลัยวันเดอร์บิลต์ในอังกฤษพบว่า การดื่มกาแฟวันละถ้วยมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายดังนี้
1. ความคิดฆ่าตัวตายลดลง
2. โรคตับแข็งลดลง
3. รักษาโรคมะเร็งได้บางชนิด
4. รักษาโรคหลอดลม โรคหืด โรคหัวใจ และโรคพาร์กินสัน.

ผลวิจัย ดื่มกาแฟช่วยชะลอความแก่ : หนังสือพิมพ์เดอะ เพรส ซึ่งตีพิมพ์ จำหน่ายที่ประเทศออสเตรเลีย รายงานผลการศึกษาของคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัย ซิดนีย์ว่า การดื่มกาแฟ จะช่วยชะลอความแก่ ยับยั้งรอยเหยี่ยวย่นบนใบหน้า ทำให้หน้าอ่อนเยาว์ได้นานขึ้นเพราะในกาแฟมีสารแอนตี้ออกซิแดนส์มีฤทธิ์ ขจัดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นเหตุที่ไปทำลายเนื้อเยื่อที่แข็งแรงในร่างกายมนุษย์ สารออกซิแดนส์ในกาแฟนั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับที่มีอยู่ในพืช ผัก ผลไม้หลายชนิด. ผลดี..ผลเสีย ของกาแฟ.. ผลจากการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับการดื่มกาแฟและชา พบว่า กาแฟไม่ได้เป็น โทษต่อร่างกายอย่างที่หลายคน เข้าใจ แต่กาแฟนั้นมีประโยชน์ หากดื่มใน ปริมาณที่พอเหมาะ กาแฟจะช่วย
๐ บรรเทาอาการปวดศรีษะ
๐ บรรเทาอาการหอบ-หืด
๐ ป้องกันหลอดเลือดหนา-เปราะ
๐ รักษาระดับความเข้มข้นของเลือดให้คงที่ ช่วยไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อน ซึ่งช่วยลดอัตรา การเสี่ยงจากโรคหัวใจ...
๐ ช่วยให้ผู้สูงอายุกระฉับกระเฉงกระชุ่มกระชวยกว่าคนในวัยเดียวกันที่ ไม่ได้ดื่มกาแฟ

นอกจากนี้คณะวิจัยจากแคนาดายังแนะนำผู้ที่ต้องการลดความอ้วนให้ ดื่มกาแฟก่อนรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้ปริมาณการ รับประทานอาหาร ลดลงถึง 22%

กาแฟกับโรคหัวใจ เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

9.2.12

ธุรกิจร้านกาแฟสด

ธุรกิจร้านกาแฟสด

ธุรกิจร้านกาแฟสดมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความน่าสนใจของธุรกิจดังกล่าวทำให้มีผู้ต้องการเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามการทำธุรกิจใดๆ ต่างมีความเสี่ยงทั้งสิ้น ธุรกิจร้านกาแฟสดก็เช่นกัน แม้จะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอยู่ ตราบใดที่กาแฟยังสร้างความสุนทรีย์ให้กับผู้ที่รักการดื่มได้ แต่การทำธุรกิจตามกระแส ผู้ประกอบการอาจไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ ผู้ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้จึงควรศึกษาข้อมูลบางส่วนไว้ ดังนี้

1. ศักยภาพ/คุณสมบัติของผู้ประกอบการ
ผู้ประกอบการที่สนใจจะลงทุนทำธุรกิจร้านกาแฟ ควรมีความพร้อมในเรื่องของเงินลงทุนอยู่บ้างพอสมควร
ผู้ประกอบการต้องมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากหัวใจสำคัญของการทำร้านกาแฟอยู่ที่การเลือกทำเลที่ตั้ง หากขาดทำเลที่ตั้งที่ดีแล้ว โอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจด้านนี้นับว่ายากลำบากอยู่พอสมควร

ผู้ประกอบการควรมีความรู้ในศาสตร์ของกาแฟอยู่บ้าง เพราะการผลิตเครื่องดื่มกาแฟถือเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน ความเข้าใจในส่วนนี้จะช่วยในเรื่องการขาย การบริการ และการพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น

2. การติดต่อกับหน่วยงานราชการ

3. การตลาดธุรกิจร้านกาแฟสด
3.1 ภาพรวมธุรกิจร้านกาแฟสด
3.2 ส่วนแบ่งทางการตลาด
3.3 กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
3.4 ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริม
3.5 ส่วนผสมทางการตลาด
- ผลิตภัณฑ์ / การบริการ
- การกำหนดราคา
- ทำเลที่ตั้งและช่องทางการจัดจำหน่าย
- การส่งเสริมการตลาด

4. การผลิตกาแฟสด
4.1 ลักษณะทั่วไปของเมล็ดกาแฟ
4.2 ขั้นตอนการผลิตเครื่องดื่มกาแฟสด
4.3 สูตรเครื่องดื่มกาแฟ
4.4 การเก็บรักษากาแฟเพื่อลดความสูญเสีย
4.5 แหล่งที่สามารถให้ความรู้ด้านการผลิต

5. การบริหารธุรกิจร้านกาแฟสด
5.1 รูปแบบการจัดองค์กร
5.2 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อช่วยการบริหารร้าน

6. การเงินและการลงทุนธุรกิจร้านกาแฟสด
6.1 การลงทุนในรูปแบบร้าน (Stand-Alone)
6.2 การลงทุนรูปแบบคอร์เนอร์และรถเข็น

7. เงื่อนไขและข้อจำกัดที่สำคัญ

8. ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ